*-* La poupée *=*

Wednesday, June 06, 2007

news..........

Paiboon: Community bill to be settled in a month(BangkokPost.com)
- Social Development and Human Security Minister Paiboon Wattanasiritham said he is confident that the controversy on his ministry's draft local community organisation councils bill will be settled within a month.Mr Paiboon and his deputy Poldej Pinprateep said they will step down from the cabinet if the draft bill is dropped.Interior Minister Aree Wongarya opposed the draft bill, allowing local communities to have a say in any prokects that would affect their livelihood, at Tuesday's cabinet meeting. He said the bill may cause overlap between work of community organisation councils with that of local administration organisations.Mr Paiboon denied rifts between him and Mr Aree, saying "Nothing. I consider him a relative. He is a colleague and we respect each other."Mr Aree also denied having conflict with Mr Paiboon, saying it is normal that two people have different opinions.

Monday, June 04, 2007

ดวงราศี

ราศีมังกร


สาวมังกร ( 16 ม.ค.- 15 ก.พ.)
สาวราศีนี้จะเป็นคนช่างวาดสวรรค์วิมานเมฆ หรือเป็นคนที่ชอบฝันเพ้อเจ้อแต่เธอเป็นยอดหญิงนักสู้และไม่ชอบติดหนี้บุญคุณของใครเสียด้วย แต่อาภัพที่เป็นคนทำคุณกับคนไม่ขึ้นเหมือนปิดทองหลังพระ เธอเป็นคนชอบทำและชอบพูด มีอารมณ์อ่อนไหว ขี้ใจน้อยง่ายบางครั้งไม่มีเหตุผลแม้ในความเป็นจริงเธอจะมีเหตุผลก็ตาม สาวมังกรมีใบหน้าค่อนข้างหักหลบหรือออกไปทางแท่งมากกว่าใบหน้าวงรี ชอบไว้ผมยาวอันเป็นเสน่ห์เฉพาะตัว

หนุ่มมังกร( 16 ม.ค.- 15 ก.พ.)
หนุ่มมังกรนี่มักจะเป็นคนขี้เหงา เพราะเขาจะมีก็เพียงแต่เพื่อนไม่แท้ ไร้คนจริงใจอย่างแท้จริงแต่เขาโชคดีที่มีดวงของคนรักคอยพยุงไว้ จึงทำให้ดวงของคุณยังแข็งพอทนอยู่ เป็นคนไม่ชอบเสี่ยงไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว เป็นคนมีอะไรลึกๆอยู่ในตัวของหนุ่มมังกรเงียบขรึมเป็นบางครั้ง ช่างนึกช่างฝันและมองการณ์ไกล จึงอาจทำให้มีใบหน้าแก่กว่าอายุจริง ชอบวางแผนก่อนเสมอ เป็นคนหยิ่งทะนงมากและเป็นคนที่ขาดรักไม่ได้


ราศีกุมภ์


สาวกุมภ์ ( 16 ก.พ.- 15 มี.ค. )
สาวกุมภ์เป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก วางมาดได้สง่างามดุจนางพญา แต่ในขณะเดียวกันเธอก็หารู้ไม่ว่าบางทีมันก็อาจทำให้เธอก้าวพลาดได้ และก็ต้องเจ็บอย่างมากทีเดียว สาวกุมภ์มีข้อเสียก็คือเธอจะเป็นคนค่อนข้างดื้อรั้นไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็จะเถียงไว้ก่อน ซึ่งถ้าเธอยอมลดราวาศอกลงบ้างจะทำให้เธองดงามดังนางพญาได้ดีกว่า เพราะส่วนหนึ่งเธอเป็นคนจริงใจและจริงจังทำให้เธอเป็นที่ต้องตาต้องใจของหนุ่มทั้งหลาย หากหนุ่มราศีอื่นๆจะจีบเธอละก้อขอเตือนไว้ว่าคุณต้องยอมรับความดื้อรั้นและอารมณ์แบบเด็กๆในบางครั้งของเธอได้ และต้องเป็นคนรักษาคำพูดด้วยเพราะเธอเป็นคนที่ถือคำพูดหรือคำสัญญาอย่างมาก สาวกุมภ์ลักษณะเด่นคือมีคิ้วที่ดกดำ

หนุ่มกุมภ์ ( 16 ก.พ.- 15 มี.ค. )
หนุ่มกุมภ์เป็นคนชอบความไม่หยุดนิ่ง หรือไม่ชอบเอื่อยเฉื่อย เขาจะก้าวไปข้างหน้าตลอดโดยไม่หวั่นเกรงกลัวสิ่งใด หนุ่มกุมภ์อารมณ์ค่อนข้างรุนแรงแต่หนักแน่น เรียกว่าเป็นตัวของตัวเองสูงมาก และเขาเป็นคนที่ไม่งมงายหรือเชื่ออะไรง่ายๆ เว้นแต่ต้องพิสูจน์เองได้ หนุ่มกุมภ์เป็นนักมองการณ์ไกลจึงเหมาะที่จะทำธุรกิจเพราะจะทำให้มีแต่คำว่ารวยๆ ลักษณะเด่นของหนุ่มราศีนี้คือจะมีเรือนกายสมชายสง่างามกว่าหนุ่มราศีอื่นๆ ชอบความทันสมัย มีดวงตาอันคมเข้มอีกด้วย


ราศีมีน


สาวมีน ( 16 มี.ค.- 15 เม.ย. )
สาวมีนเป็นสาวที่สวยพิศ โดยเแพาะริมฝีปากเป็นกระจับและดวงตาที่แวววาวสดใส สาวมีนเป็นคนเฉลียวฉลาดและมีความสามารถในการพูดมาก เมื่อเธอพูดทุกคนจะต้องหันมาฟังเธอแน่ สาวมีนมีอารมณ์สองแบบซึ่งถ้าไม่ได้สนิทสนมจริงๆจะไม่มีทางรู้นิสัยของเธอ นิสัยแบบแรกคือ เธอเป็นคนร่างเริงสดใสกับชีวิต ใครได้อยู่ใกล้จะมีความสุขและอาจแอบอิจฉาความสุขของเธอได้ ส่วนนิสัยแบบที่สองก็คือบางทีเธอจะมีอาการเหมือนคนเป็นทุกข์ จะเก็บเงียบไว้ภายในใจคนเดียวเธอจะไม่บอกให้ให้รู้ เมื่อเจอสาวมีนคุณต้องระวังในการคบหากับเธอและปรับตัวให้ทันกับอารมณ์ของเธอ

หนุ่มมีน( 16 มี.ค.- 15 เม.ย. )
หนุ่มมีนเป็นคนที่ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง จะบ้าบิ่นและซ่าจนบางครั้งน่าหมั่นไส้ จุดเด่นของหนุ่มมีนจะเป็นคนที่มีหน้าตาสดใส รักความสะอาด ใบหน้ามีเสน่ห์ชวนมอง รูปร่างสันทัดผิวค่อนข้างคล้ำ หนุ่มมีนชอบที่จะสร้างสรรค์ผลงานออกมา และถ้าเขาคิดจะทำอะไแล้วละก้อจะต้องทำให้ดี ถ้าไม่ดีจะไม่ทำ แต่เป็นคนจู้จี้จุกจิกในเรื่องของความสะอาดมากจนสาวอายไปเลย


ราศีเมษ


สาวเมษ(16 เม.ย.- 15 พ.ค. )
สาวเมษหรือเรียกว่าสาวแห่งเดือนที่ร้อนระอุที่สุด สาวเมษเป็นกล้าหาญและเชื่อมั่นในการทำงานของตนเองมากๆแต่ถ้าเธออารมณ์เสียละก้อเะอจะหยุดทำมันเสียเฉยๆ เรียกว่าสาวราศีนี้ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ และถ้าอารมณ์ดีจะมีพลังคอยหนุนให้ทำไม่หยุดถึงไหนถึงกัน สาวเมษเป็นคนที่ชอบวางแผนการและมองการณ์ไกล เป็นสาวช่างพูด ร่าเริง หัวเราะง่าย มีใบหน้าเข้ม รักสวยรักงาม ชอบแต่งเติมใส่เฟอรืนิเจอร์ในตัวแพรวพราวเลยทีเดียว

หนุ่มเมษ (16 เม.ย.- 15 พ.ค. )
หนุ่มเมษเป็นคนที่มีอารมณ์ร้อนแรง บวกกับความรุนแรงจะเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองซะมากๆทีเดียว มีอารมณ์ร้อนดุจภูเขาไฟระเบิด มักคิดว่าตัวเองเป็นวีรบุรุษ บางทีก็เยือกเย็นจนดูน่ากลัวเอามากๆเลย เป็นคนที่มุทะลุจนอาจทำลายมิตรภาพลงได้และเป็นคนที่มีเอกลักษณ์ในตัวเอง หนุ่มเมษบางคนชอบไว้ผมยาว เป็นคนง่ายๆ


ราศีพฤษภ


สาวพฤษภ ( 16 พ.ค.-15 มิ.ย. )
สาวพฤษภเป็นคนที่เมื่อคิดจะทำอะไรแล้ว จะไม่สนใจใครไม่แคร์อะไรทั้งนั้น เชื่อมั่นในตัวเองเสมอไม่ว่าเรื่องนั้นจะถูกหรือผิดถ้าคิดจะทำต้องทำให้ได้ เป็นคนหยิ่งไม่ชอบง้อคน สาวพฤษภบางคนมีคนรักมากและค่อนข้างหลายใจ เพราะเธอมีเสน่ห์ตรงคำพูดจาที่ใครก็หลงใหล ชอบแต่งตัวตามธรรมชาติแม้ใบหน้าก็จะไม่แต่งมาก เป็นคนบ้างาน สาวราศีนี้ส่วนใหญ่จะประสบความสำเร็จในเรื่องการงาน เป็นคนคิดอะไรอย่างมีเหตุมีผล รูปร่างของสาวราศีนี้ออกจะพอดีๆไม่เตี้ยไม่สูงเกินไป

หนุ่มพฤษภ ( 16 พ.ค.-15 มิ.ย. )
หนุ่มพฤษภหากคิดจะทำงานอะไรจะต้องมีการวางแผนการไว้ล่วงหน้า เมื่อทำจะทำอย่างมั่นใจ เป็นคนไม่ค่อยพูดแต่จะทำอย่างจริงจัง มีทิฐิสูง ขี้งอน ใจอ่อนและชอบช่วยเหลือคนแม้ว่าคนที่เคยทำให้เจ็บช้ำมาก่อนก็ตาม หนุ่มราศีนี้มีลักษณะท่าทางดีเป็นที่ยอมรับเชื่อถือของสังคม อ่อนหวานและอ่อนไหวในเรื่องความรักมาก ลักษณะของหนุ่มราศีนี้จะมีรูปร่างกำยำบึกบึนแบบพระเอกหนังบู๊ มีเสน่ห์ที่รอยยิ้มและมาดสุขุมลุ่มลึก


ราศีเมถุน


สาวเมถุน( 16 มิ.ย.- 15 ก.ค. )
สาวราศีนี้เป็นคนชอบเก็บกดเรื่องราวต่างๆเอาไว้เองคนเดียว ไม่ให้ใครรู้เห็นด้วย แต่บทที่เธอบ้าก็จะบ้าดีเดือดเลยทีเดียว จะเป็นสาวเปรี้ยวไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน จะไม่ยอมแก่ตามสังขาร แต่เธอมีข้อเสียคือปากกับใจไม่ค่อยตรงกันเท่าไหร่ เธอชอบจินตนาการ เธอจะเป็นสาวที่มีความโดดเด่นและมีความสามารถมาก ไม่ว่าจะมารูปแบบไหนเธอก็สู้ไม่ถอย

หนุ่มเมถุน ( 16 มิ.ย.- 15 ก.ค. )
หนุ่มราศีนี้เป็นยอดนักรักตัวยง และเป็นคนขี้เหงาต้องมีเพื่อนคุยและชอบเข้าสังคม ชอบความสนุกสนานรื่นเริงและเป็นคนเข้าใจโลก มีอารมณ์ดีและมีจิตใจดีอีกด้วย จุดเด่นคือเป็นคนมีคารมดี ไหวพริบดี รักง่ายหน่ายเร็ว เป็นหนุ่มที่ขาดคนรักขาดเพื่อนไม่ได้เลย


ราศีกรกฎ


สาวกรกฏ( 16 ก.ค.- 15 ส.ค. )
สาวราศีนี้มักจะหลงตัวเอง คิดว่าตัวเองเก่งตัวเองแน่กว่าใคร ชอบทำตัวเป็นจุดเด่น แม้ใครพบเห็นจะรู้สึกขัดหูขัดตาก็ตาม เธอเป็นสาวเปรี้ยว ตามแฟชั่นเสมอ ชอบบงการชีวิตคนอื่นทั้งที่บ้านและที่ทำงาน จุกจิก จะคิดอะไรที่เกินชาวบ้านเขาออกจะเว่อร์ไปหน่อย แววตาของสาวราศีนี้ไม่ค่อยซ่อนอารมณ์ คิดยังไงก็จะพูดออกมาอย่างนั้นเลย ท่าทางของเธอจะส่อความในใจพร้อมกับดวงตาคู่นั้นของเธอ เธอเป็นอนุรักษ์ด้วยเหมือนกันนะ

หนุ่มกรกฏ( 16 ก.ค.- 15 ส.ค. )
หนุ่มราศีนี้จะเป็นหนุ่มที่ขี้อาย ไม่ชอบเพ้อเจ้อ ไม่ชอบแสดงตัวเองและไม่โอ้อวดใคร เป็นคนรักธรรมชาติและชอบความสันโดษ เงียบขรึม เป็นคนขี้หึงตัวยงทีเดียว ถ้าอยการู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรให้ดูที่แววตาและคำพูดของเขาได้ หนุ่มราศีนี้จะคิดถึงวันนี้มากกว่าวันวานหรือวันข้างหน้า แต่ค่อนข้างจะเป็นคนที่คิดมากจริงๆ ทุกเรื่องจะเก็บมาคิดพร่ำเพรื่อ จนอาจกลายเป็นโรคประสาทได้ก่อนเวลาอันควร


ราศีสิงห์


สาวสิงห์( 16 ส.ค.- 15 ก.ย. )
สาวราษีนี้เมื่อช่วงวัยรุ่นจะมีรูปร่างอ้อนแอ้น แต่เมื่อสูงวัยขึ้นจะมีรูปร่างอวบค่อนข้างอ้วน เป็นสาวช่างฝัน เธอชอบงานที่ต้องใช้สมอง เธอจะทำได้ดีและเก่งมาก สาวราศีนี้เหมาะกับเป็นดารานักแสดง มีวาจาที่เด่นพูดจามีคารมเก่งจริงๆ เธอเป็นสาวที่เจ้าชู้ไม่ใช่เล่นทีเดียวละ

หนุ่มสิงห์( 16 ส.ค.- 15 ก.ย. )
หนุ่มราศีนี้จะมีผิวออกจะค่อนข้างดำบ้าง มีลักษณะมาดแมนเต็มตัว มีความจริงใจ จะแสดงออกถึงความเป็นผู้นำ ชอบดูแลปกป้องคุ้มครองคนอื่นๆ สายตากับใจจะตรงกัน มีความแข็งแกร่งแต่มีอารมณ์อ่อนไหวขี้สงสารคน บางครั้งมีทิฐิ เป็นคนที่ต่อสู้กับชีวิตและอุปสรรคของตัวเองได้โดยไม่เกรงกลัวกับความผิดหวังหรือกลัวอนาคตข้างหน้า หนุ่มราศีนี้จะมีลักษณะรูปร่างค่อนข้างสูง คิ้วดกดำเข้ม มีวงแขนกล้ามใหญ่จริงๆ


ราศีกันย์


สาวกันย์ ( 16 ก.ย.- 15 ต.ค. )
สาวราศีนี้จะมีดวงตาที่ทรงเสน่ห์ สวยเฉียบคม สาวรราศีนี้จะประสบความสำเร็จก็เพราะพูดจาอ่อนหวาน รู้จักพูดจา มีอารมณ์เย้ายวนพร้อมมีหัวใจแห่งรักหลากหลาย แม้จะอกหักอยู่บ่อยๆก็ตาม แต่ในบั้นปลายอาจไร้คู่ และเพื่อนต่างเพศที่แท้จริงเพราะความเจ้าชู้ของสาวเจ้านั่นเองละ

หนุ่มกันย์ ( 16 ก.ย.- 15 ต.ค. )
หนุ่มราศีนี้เป็นหนุ่มที่ช่างจดช่างจำและออกจะเพ้อฝันพอสมควร มีอารมณ์รุนแรง และเปลี่ยแปลงง่าย ออกจะขี้หึงหวง ชอบแสดงความเป็นเจ้าของได้อย่างเฉียบขาด สามารถตัดขาดรักได้อย่างรวดเร็ว เงียบขรึมไม่ช่างพูด เพราะกลัวพูดแล้วล้มเหลวไม่ได้ดั่งที่ต้องการแต่ถ้าเขาคิด ที่จะวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นละก้อจะวิจารณ์ชาวบ้านได้อย่างทะลุปรุโปร่งทีเดียวแต่บางทีลืมที่จะมองดูตัวเองก่อน หนุ่มราศีนี้หากต้องเสียใจหรือผิดหวังจะเห็นได้อย่างชัดเจน เป็นคนรักสวย รักงามชอบแต่งตัวให้สะอาด มีความสง่างามในตัวเอง


ราศีตุลย์


สาวตุลย์( 16 ต.ค.-15 พ.ย. )
สาวตุลย์เป็นสาวที่ร้อนแรง ทำให้ดวงตาของเธอจึงเปี่ยมไปด้วยพลัง และความมั่นคงโดยเฉพาะในคำพูดที่เด็ดขาดและเฉียบคม มีคารมที่กินขาด ทำให้คนฟังต้องตบมือให้เธอทีเดียว เป็นคนหนักแน่น พูดในเรื่องที่จริงจังไม่พูดเล่นหรือพูดมากจนรำคาญ ลักษณะเด่นของสาวราศีนี้จะมีคิ้วโก่งเป็นวงธนูเข้ม รูปหน้ายาวสวยลงตัว รูปร่างค่อนข้างสูง เป็นคนที่มีความสามารถและยุติธรรม เมื่อทำงานสิ่งใดก็ตามจะน่าเชื่อถือและชอบท้าทายกับคนที่ดูถูกเสมอ

หนุ่มตุลย์ ( 16 ต.ค.-15 พ.ย. )
หนุ่มราศีนี้จะเป็นคนเรียบๆเงียบขรึม รักความยุติธรรมและความมั่นคงของชีวิตดุจกับตราชั่งทั้งในด้านการงานและเรื่องส่วนตัว ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียวไม่ชอบวุ่นวายกับใคร มีอารมณ์อ่อนนุ่ม แต่สายตาออกจะดุดัน เอาจริง น่ากลัวทีเดียว รูปร่างของหนุ่มราศีนี้ออกจะสูงโปร่ง เป็นคนจุกจิกในเรื่องของความสะอาด ความเป็นระเบียบ พิถีพิถันมากกว่าสาวๆบางคนเสียอีกละ


ราศีพิจิก



สาวพิจิก( 16 พ.ย.- 15 ธ.ค. )
สาวราศีนี้จะไม่เหมือนสาวราศีอื่นก็ตรงที่มีพลังลึกลับบนใบหน้า มีความสวยและเสน่ห์รัดรึงหนุ่มให้หลงใหลเมื่อได้สบตาเธอ สาวราศีนี้จะมีอารมณ์หลากหลาย แต่ที่แน่ๆคือร้อนแรง แต่เธอชอบที่จะเก็บซ่อนไว้ในใจ แต่ยามใดที่ระเบิดออกมาละก้อ รับรองว่าสามารถเผาผลาญจิตใจคนใกล้ชิดได้เป็นจุลทุกขณะ สาวราศีนี้ออกจะสวยอย่างธรรมชาติแม้จะไม่ได้แต่งเติมเลยก็ตาม รูปร่างมักเพรียว ระหง คล่องแคล่วว่องไว มีความมั่นใจในตัวเองค่อนข้างสูงมาก แต่ก็อ่อนไหวได้ง่ายเหมือนกัน

หนุ่มพิจิก( 16 พ.ย.- 15 ธ.ค. )
หนุ่มพิจิกเป็นยอดนักสู้และนักอดทนตัวยง สู้ชีวิตมาตลอดแต่ไม่ใช่ว่าจะลำบากตลอดชีวิต เป็นคนช่างพูดและมีวาทะศิลป์ดี หน้าตาของหนุ่มราศีนี้ออกจะมีความหล่อมากหน่อย มีดวงตาซุกซนแสนหวาน นิสัยกระล่อนหาตัวจับยากแต่มีความจริงใจผสมอยู่ หนุ่มราศีนี้จะมีอารมณ์ด้านเซ็กส์มาก ชอบพูดเรื่องเกี่ยวกับเพศและผิวค่อนข้างดำแดง มีเสน่ห์ กระชากใจสาวมาครองได้อย่างสบาย หากเขาต้องการสาวใดแล้วละก้อไม่มีพลาดแน่














Japon


Le Japon (en japonais 日本国, Nihonkoku ou Nipponkoku, le plus souvent abrégé en 日本, Nihon ou Nippon) est un pays insulaire de l'est de l'Asie.

C'est la deuxième puissance économique du monde.
日本 signifie « origine du Soleil » (日 = jour ou Soleil, 本 = racine ou origine - pour

évoquer le soleil levant). On utilise parfois la périphrase « empire du Soleil levant »

pour désigner le pays. Le prince Shōtoku (聖徳太子, 574-622) s’était servi de cette

expression dans une lettre envoyée à l’empereur de Chine (Cf. Noms du Japon).


Présentation

Le Japon est un archipel volcanique situé entre l’océan Pacifique, la mer du Japon et la mer de Chine orientale, à l’est de la péninsule coréenne à la croisée de plusieurs plaques tectoniques sources de nombreux séismes. L’archipel japonais est composé de quatre îles principales, Honshū, Hokkaidō, Kyūshū, et Shikoku, ainsi que de milliers de petites îles, appartenant notamment à la préfecture d'Okinawa. Hokkaidō, historiquement peuplée par les Aïnus (ou Aïnous), fut incorporée progressivement à l’ère de peuplement japonais, processus qui s’acheva avec l’époque Meiji. Les migrants s’installèrent dans la plaine du Yamato et formèrent plus tard les premiers artisans de la culture japonaise, alors que les peuples originels furent cantonnés au nord de Honshū et sur l’île de Hokkaidō.
Le nom japonais Nippon est utilisé sur les timbres et pour les événements sportifs internationaux, alors que Nihon est utilisé plus fréquemment au Japon même. Nippon réfère aussi à l’empire japonais et à une certaine idéologie. Yamato (大和) est le nom que l'on donne à l'ancienne période de la déesse du Soleil « Amaterasu » (qui selon la mythologie ayant cours avant la capitulation en 1945, aurait créé le Japon). C’est à l’origine le nom de la première structure impériale connue qui exerçait son pouvoir autour de Nara (奈良) aux environs du Ve siècle. Aujourd’hui, on trouve toujours le mot Yamato dans des expressions telles que Yamatodamashii (大和魂, « l’esprit japonais »).

Histoire

La légende prétend que le Japon fut fondé au VIIesiècle av. J.-C. par l’empereur Jimmu. Le système d’écriture chinois et le bouddhisme furent introduits durant les Ve et VIe siècles, initiant une longue période d’influence culturelle chinoise. Les empereurs étaient les dirigeants symboliques, alors que le véritable pouvoir était le plus souvent tenu par les puissants nobles de la Cour, régents ou shogun (général en chef des armées).
À partir du XVIe siècle, des commerçants venus du Portugal, d’Espagne, des Pays-Bas et d’Angleterre débarquèrent au Japon avec des missionnaires chrétiens. Pendant la première partie du XVIIe siècle, le shogunat craignit que ces missionnaires fussent la source de périls analogues à ceux que subirent ses voisins (telles les prémices d’une conquête militaire par les puissances européennes ou un anéantissement total pareil à celui que subit le royaume tibétain de Gugé en 1630 suite à l'accueil bienveillant de missionnaires chrétiens par son roi, accueil provoquant l'invasion du Ladakh par son voisin rival, qui profita de l'agitation engendrée par la colère des autorités bouddhistes contre la menace de la perte de leur monopole religieux et de leur influence); aussi la religion chrétienne fut formellement interdite en 1635 sous peine de mort sous la torture. Puis, en 1639, le Japon cessa toute relation avec l’étranger, à l'exception de certains contacts restreints avec des marchands chinois et hollandais à Nagasaki (長崎), précisément sur l’île de Dejima (出島). Cet isolement volontaire dura jusqu’à ce que les États-Unis, avec le commodore Matthew Perry, forcent le Japon à s’ouvrir à l’Occident par la politique de la canonnière en signant la Convention de Kanagawa en 1854 après son pilonnement.
En seulement quelques années, le renouement des contacts avec l’Occident transforma profondément la société japonaise. Le shogunat fut forcé de démissionner et l’Empereur fut remis au pouvoir. La restauration Meiji de 1868 initia de nombreuses réformes. Le système de type féodal fut officiellement aboli et de nombreuses institutions occidentales furent adaptées. De nouveaux systèmes juridiques et de gouvernement ainsi que d’importantes réformes économiques, sociales et militaires transformèrent le Japon en une puissance régionale. Ces mutations donnèrent naissance à une forte ambition qui se transforma en guerre contre la Chine (1895) et contre la Russie (1905), dans laquelle le Japon gagna la Corée, Taiwan et d’autres territoires.
L’expansionnisme militaire du Japon au début du XXe siècle, qui débuta avec l’annexion de la Corée (1910), se poursuivit avec l’invasion de la Mandchourie et une seconde guerre sino-japonaise avec le premier bombardement aérien à Shanghai d’une ville et de ses civils (à partir de 1937). Le Japon se construisit un empire colonial étendu jusqu’à l’Asie du Sud-Est qui lui permit de se fournir en matières premières. L’attaque sur Pearl Harbor dans l’archipel d’Hawaii en 1941 l’engagea dans la Seconde Guerre mondiale. Le Japon fut finalement vaincu en 1945 après le largage de deux bombes atomiques, une sur Hiroshima (6 août 1945) et une autre sur Nagasaki (9 août 1945). Il se rendit aux États-Unis et ses alliés le 15 août 1945. Le traité de paix avec la Russie est toujours en négociation, en réglement du problème des îles Kouriles du sud, occupées par cette dernière depuis la fin du conflit.
Le Japon dévasté d’après-guerre, confiné à l’archipel, resta sous la tutelle des États-Unis jusqu’en 1951 (traité de San Francisco). Ceux-ci imposèrent une nouvelle constitution plus démocratique et fournirent une aide financière qui encouragea le renouveau du pays.
L’économie se rétablit rapidement et permit le retour de la prospérité sur les îles.
À la fin des années 1980, le Japon connaît une apogée culturelle et pour le moins économique.
Article détaillé : Forces d'autodéfense japonaises.
Actuellement, bien que sa part soit relativement faible dans les finances de l’État, le Japon a le cinquième plus important budget militaire du monde en chiffres absolus, mais l’importance de ce budget ne fait pas pour autant du Japon une grande puissance militaire. La constitution japonaise interdit en effet le maintien d’une armée, le droit de belligérance et le lancement de toute opération militaire en dehors de ses frontières autre que l’autodéfense. Cependant, des « forces d’autodéfense », un corps militaire professionnel disposant de moyens techniques avancés.
Avec la guerre en Irak en 2003, la Constitution a été aménagée pour pouvoir déployer des troupes hors de son territoire dans le cadre d’opérations à caractère non strictement militaire (reconstruction, aide humanitaire…). De la sorte, le Japon espère pouvoir acquérir un rôle diplomatique plus en rapport avec sa puissance économique.

ประเทศญี่ปุ่น

ญี่ปุ่น (「日本」, Nippon / Nihon, – นิฮง/นิปปอน - ถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์?) เป็นประเทศหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ทางตะวันตกติดกับคาบสมุทรเกาหลี และสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีทะเลญี่ปุ่นกั้น ส่วนทางทิศเหนือ ติดกับประเทศรัสเซีย มีทะเลโอฮอส์ค เป็นเส้นแบ่งแดน
ด้วยญี่ปุ่นมีเนื้อที่กว่า 377,872 ตารางกิโลเมตร ญี่ปุ่นจึงเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นขนาดอันดับที่ 60 ของโลก และประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่กว่า 3,000 เกาะ เกาะที่ใหญ่ที่สุดก็คือเกาะฮอนชู ฮอกไกโด คิวชู และ ชิโกกุ ตามลำดับ เกาะของญี่ปุ่นส่วนมากจะเป็นหมู่เกาะภูเขา ซึ่งในนั้นมีจำนวนหนึ่งเป็นภูเขาไฟ เช่นภูเขาไฟฟูจิ ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศ เป็นต้น ประชากรของญี่ปุ่นนั้นมีมากเป็นอันดับที่ 10 ของโลก คือมากกว่า 128 ล้านคน
ก่อนหน้าที่ญี่ปุ่นจะมีความสัมพันธ์กับจีน ก็ได้เรียกตัวเองว่า ยะมะโตะ ส่วน วา (倭) เป็นชื่อที่ชาวจีนยุคแรกใช้เรียกญี่ปุ่นในช่วงยุคสามก๊ก
ประเทศญี่ปุ่นมีเมืองหลวงคือโตเกียว ทั้งประเทศประกอบด้วยเกาะจำนวนมาก โดยมีเกาะใหญ่ ๆ จากทางเหนือไปทางใต้คือ ฮอกไกโด (北海道) ฮอนชู (本州 เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุด) ชิโกกุ (四国) และ คิวชู (九州)

ประวัติศาสตร์

ยุคโบราณ
อารยธรรมแรกที่เริ่มปรากฏขึ้นในดินแดนญี่ปุ่นเริ่มเมื่อประมาณ 10,000 ก่อนคริสตศกราช ซึ่งเรียกกันว่าวัฒนธรรมโจมงมี ลักษณะเป็นวัฒนธรรมแบบยุคหินและสิ้นสุดเมื่อเริ่มทำการเกษตรหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดในยุคนี้ก็คือเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งเครื่องปั้นดินเผานี้มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองอย่างมาก
ตามที่บันทึกไว้ใน "นิฮงโชะกิ" (日本書紀, Nihonshoki) ซึ่งเป็นหนังสือเล่มแรกของญี่ปุ่น ได้กล่าวไว้ว่าประเทศญี่ปุ่นก่อตั้งเมื่อวันที่ 1 มกราคม 660 ปีก่อนคริสตกาล (ตามปฏิทินแบบเก่า) โดย คะมุยะมะโตะอิวะเระฮิโกะ (หรือเรียกตามชื่อรัชกาลว่า จักรพรรดิจินมุ) อย่างไรก็ดี มีความเชื่อว่าจักรพรรดิจินมุไม่ได้เป็นบุคคลจริงหรืออาจจะถูกเพิ่มเข้ามาภายหลัง ในช่วงที่มีการแก้ไขนิฮงโชะกิ
ยุคต่อมาที่ต่อจากยุคโจมงคือ ยุคยาโยอิ เริ่มเมื่อประมาณ 300 ปี ก่อนคริสตศกราช เป็นยุคที่ผู้คนเริ่มเรียนรู้วิธีการปลูกข้าว การตีโลหะ ซึ่งได้รับความรู้มาจากผู้อพยพชาวจีนแผ่นดินใหญ่ บันทึกทางโบราณครั้งแรกที่ปรากฏชื่อเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นคือ หนังสือจีนราชวงศ์ฮั่นเมื่อปี พ.ศ. 600 (ค.ศ. 57) ซึ่งชาวญีปุ่นถูกเรียกว่าพวก วา(倭) และประกอบไปด้วยชนเผ่ากว่า 1,000 เผ่า
ตามบันถึกของจีนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 3 อาณาจักรที่ทรงอำนาจมากที่สุดในญี่ปุ่นคืออาณาจักรที่มีชื่อว่า ยะมะไทโคกุ(邪馬台国) ซึ่งปกครองด้วยราชินีฮิมิโกะ(卑弥呼) ซึ่งกษัตรีพระองค์นี้ ได้เคยส่งคณะทูตไปยังประเทศจีนผ่านทางเกาหลีด้วย
คาดกันว่าประเทศญี่ปุ่นเริ่มใช้ชื่อประเทศว่า "นิฮง (日本, Nihon)" ครั้งแรก ในช่วงครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 7 โดยพบหลักฐานในหนังสือของสาสน์ของทูตในปี พ.ศ. 1244 (ค.ศ. 701) ความหมายของคำว่า นิฮง มาจากการถือว่า "เป็นต้นกำเนิดของพระอาทิตย์เมื่อมองจากแผ่นดินใหญ่ของจีน" และโดยการทูตแล้ว ในสมัยนั้นถือว่าญี่ปุ่นมีฐานะเท่าเทียมกับแผ่นดินใหญ่

ยุคเริ่มอารยธรรมญี่ปุ่น

ยุคโคฮุง ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 4 ถึง 7 เป็นยุคที่ญี่ปุ่นเริ่มมีการปกครองแบบราชวงศ์ ซึ่งศูนย์กลางการปกครองนั้นอยู่บริเวณเขตคันไซของประเทศ
เมื่อพระพุทธศาสนาได้เผยแพร่จากคาบสมุทรเกาหลี มาสู่หมู่เกาะญี่ปุ่น ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 ชนชั้นระดับปกครองของญี่ปุ่นในขณะนั้นก็ได้สนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะ เจ้าชายโชโตะกุ พระองค์ได้สนับสนุนพระพุทธศาสนาอย่างมาก ถึงกับสร้างวัดหลายแห่งในประเทศญี่ปุ่น เช่น วัดชิเทนโนจิ(ปัจจุบันตั้งอยู่ในจังหวัดโอซะกะ) วัดตามแบบพุทธศาสนาแห่งแรก วัดโฮลิวจิ(ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดนะระ) เป็นต้น นอกจากนั้นเพื่อให้ประเทศอยู่ด้วยความสงบ พระองค์ได้ทรงประกาศใช้ กฎหมาย 17 มาตรา ซึ่งเป็นกฎหมายญี่ปุ่นฉบับแรกอีกด้วย
ยุคนารา ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 8 เป็นยุคแรกที่มีการก่อตัวเป็นอาณาจักรที่แข็งแรงของประเทศญี่ปุ่น มีระบบการปกครองอย่างมีระบบให้เห็นได้อย่างขัดเจน โดยการนำระบอบการปกครองมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ศูนย์กลางการปกครองในขณะนั้นก็คือ เฮโจวเกียว หรือบริเวณตัวเมืองนะระ(นารา)ในปัจจุบัน หลังจากนั้นได้ย้ายมาที่ เมืองนะงะโอะกะ(ทางตอนใต้ของจังหวัดเกียวโตะ) และ เฮอังเกียว(กลางเมืองเกียวโตะ) ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นโตเกียว ตามลำดับ เมืองหลวงที่มีระยะเวลานานที่สุดก็คือ เฮอังเกียว ซึ่งได้เป็นเมืองหลวงของประเทศนานถึง 1,074 ปี ซึ่งเราได้เรียกยุคตั้งแต่สถาปนาเมืองหลวงเฮอังเกียวจนถึงการตั้ง บะกุฮุ หรือ ค่ายรัฐบาล ว่า ยุคเฮอัง

วัดคิงงะกุจิ(แปลได้ว่า วัดตำหนักทอง) ในเมืองเกียวโต ซึ่งอาจจะเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่โด่งดังที่สุดของญี่ปุ่น เป็นที่พำนักของโชกุนในยุคมุโระมะจิ
ระหว่างปี พ.ศ. 1337 (ค.ศ. 794) จนถึง ปี พ.ศ. 1728 ซึ่งเป็น ยุคเฮอัง นั้น ถือได้ว่าเป็นยุคทองของญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นยุคสมัยที่เริ่มมีการปรากฏของวัฒนธรรมญี่ปุ่น ซึ่งเกิดจากการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมจีน และของตนเอง สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดมากที่สุดคือ การประดิษฐ์ตัวอักษร ฮิรางานะ ซึ่งทำให้เกิดวรรณกรรมที่แต่งโดยตัวอักษรนี้เป็นจำนวนมาก เช่นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 11 มุระซะกิ ชิกิบุ สาวใช้ชาววัง ได้แต่งนวนิยายเรื่อง นิทานเกนจิ หรือ ตำนานเกนจิ(源氏物語)ขึ้น ซึ่งเป็นนิยายที่บรรยายเกี่ยวกับการใช้ชีวิต การปกครองของตระกูลฟุจิวะระ นอกจากนั้นนวนิยายเรื่องนี้ยังเป็นนวนิยายที่เก่าแก่รองจากนวนิยายสามอาณาจักร(เกาหลี)ที่ยังมีให้เห็นในโลกอยู่อีกด้วย

[แก้] ยุคศักดินา
ยุคศักดินาญี่ปุ่นเริ่มจากการมีอำนาจการปกครองเหนือชนชั้นปกครองเดิมในญี่ปุ่นซึ่งก็คือชนชั้นราชวงศ์ ซึ่งสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 1728 (ค.ศ. 1185) ตามมาด้วยการพ่ายแพ้ของตระกูลไทระ ที่เสียให้แก่ มินะโมะโตะ โนะ โยะริโตะโมะ ซึ่งหลังจากนั้นเขาได้แต่งตั้งตนเองเป็นโชกุน และสร้าง บะกุฮุ หรือ ค่ายทหารในเมืองคะมะกุระ ยุคนี้เราเรียกว่าเป็น ยุคคะมะกุระ หลังจากการเสียชีวิตของโชกุนโยะริโตะโมะ ตระกูลโฮโจ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นตระกูลโชกุนตระกูลใหม่ ซึ่งในยุคนี้ญี่ปุ่นจะต้องต่อสู้กับการุกรานของจักรวรรดิมองโกล
หลังจากการรุกรานของมองโกลครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. 1824 (ค.ศ. 1281) ในปี พ.ศ. 1876 (ค.ศ. 1333) คะมะกุระบะกุฮุก็ได้สูญเสียอำนาจให้แก่ อะชิกะงะ ทะกะอุจิ ซึ่งเขาได้ย้ายบะกุฮุไปตั้งไว้ที่กรุงเกียวโต เมืองหลวง และตั้งชื่อว่า มุโระมะจิบะกุฮุ หลังจากความสงบหลายร้อยปี ในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 ได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในประเทศญี่ปุ่นเพราะบรรดาขุนนางที่หัวเมืองต่างทำสงครามเพื่อแย่งชิงความเป็นใหญ่ แผ่นดินญี่ปุ่นจึงเข้าสู่ยุคสงครามกลางเมือง หรือที่รู้จักกันว่า ยุคเซงโงะกุ
สงครามดำรงอยู่หลายสิบปี จนเมื่อปี พ.ศ. 2133 (ค.ศ. 1590) โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ ได้สามารถปราบปรามบ้านเมืองให้สงบลงได้ หลังจากได้รวมรวมบ้านเมืองเสร็จ โทโยโตมิ มีความคิดที่จะบุกคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งเขาได้ทำการบุกถึง 2 ครั้ง จนเมื่อเขาเสียชีวิตลง โตกุงาวะ อิเอยะสึ ได้จัดการรวบรวมประเทศใหม่ และตั้งรัฐบาลใหม่ที่ เมืองเอโดะ ซึ่งรู้จักดีในชื่อยุคว่า ยุคเอโดะ

Cool Slideshows
Cool Slideshows!